ปีนี้หรือปี 2018 เป็นอีกปีที่เกมเมอร์ต้องขยันหาเงินมาปรนเปรอตัวเองมากหน่อย เพราะมีเกมชื่อดังหลายเกมออกมายั่วกันอย่างไม่ขาดสาย ไม่ว่าจะเป็นเกมเก่า เกมใหม่ เกมที่ไม่ออกภาคต่อนานมากแล้ว หรือเกมที่ออกอยู่เรื่อยๆ หนึ่งในเกมเหล่านั้นที่เกมเมอร์จับตามองคือ Assassin’s Creed Odyssey
จะเข้ารีตนักฆ่า ต้องศึกษาบทไหนบ้าง
ถ้านับเฉพาะภาคหลัก (ภาคที่เป็นเกมผจญภัย openworld RPG) Assassin’s Creed Odyssey ก็เป็นภาคที่ล่วงเลยมาถึงลำดับที่ 12 กันเลยทีเดียว ทำให้อาจจะมีทั้งคนที่ตามเล่นมาอยู่แล้ว คนที่เลือกเล่นแค่บางภาค หรือคนที่เริ่มมาก็เล่นภาคนี้เลยก็น่าจะมี โดยเกมที่มีทั้งหมด 12 ภาคมันก็ไม่ใช่เรื่องน้อยๆ เพราะฉะนั้นวันนี้เราจะเอาแต่ละภาคมาจับกลุ่มเป็นชุดๆให้ได้ดูกัน ว่าถ้าจะเลือกเล่นเฉพาะบางภาค ควรเล่นภาคไหนบ้างถึงจะสมบูรณ์ และมีภาคไหนที่เหมาะกับคุณ
Assassin’s Creed นั้นเป็นเกมอิงประวัติศาสตร์
ที่ใช้เหตุกาณ์ที่เกิดขึ้นจริงเป็นพื้นฐาน
และแต่งเติมความไซไฟ-แฟนตาซีเข้าไป
เรื่องราวของ Assassin’s Creed นั้นว่าด้วยการต่อสู้กันของ “มือสังหาร” (Assassin) เหล่าผู้เชื่อในอิสรภาพของมนุษยชาติ กับ “เทมพลาร์” (Templar) องค์กรที่แสวงหาสันติอันเกิดจากการควบคุมเบ็ดเสร็จ ด้วยการใช้ “The Piece of Eden” วัตถุทรงพลังที่ตกทอดมาจาก “ผู้มาก่อน” ทำให้การต่อสู้ที่ว่ากินเวลายาวนานนับพันปี
และเมื่อถึงยุคปัจจุบัน เทมพลาร์นั้นยังคงตามหา The Piece of Eden อยู่เช่นเดิม แต่ใช้วิธีการ “เข้าไปใน” ความทรงจำจากบรรพบุรุษของผู้ที่สืบเชื้อสายของมือสังหารเพื่อหาที่ซ่อนของชิ้นส่วนของเหล่านั้น ทำให้เนื้อเรื่องซีรีส์นี้เป็นการผจญภัยที่เกิดขึ้น 2 timeline ควบคู่กัน
ทีมงาน GG2 เรียบเรียงข้อมูลด้วยวิจารณญาณรวมถึงประสบการณ์ในการเล่นของทีมงานเอง การจัดหมวดหมู่อาจจะไม่ตรงกับแหล่งอื่นเสียทีเดียว
ปฐมบทแห่งมหากาพย์
เดิมที Assassin’s Creed นั้นถูกวางให้เป็นภาคหนึ่งของเกม Prince of Persia (อาจเกิดขึ้นในชื่อ Prince of Persia: Assassin) เท่านั้น แต่สุดท้ายเกมนี้ก็ได้กลายเป็น IP ใหม่ของ Ubisoft และกลายเป็นเกมที่สร้างชื่อเสียงให้ค่ายเป็นอันดับต้นๆ
- Assassin’s Creed (2007) – ตำนานแห่งนักฆ่าภาคแรก (แต่ไม่ใช่ภาคที่ลงไปในประวัติศาสตร์ที่เก่าที่สุด) โดยตัวละครที่ผู้เล่นจะได้เล่นคือ Altaïr ibn-La’Ahad (อัลตาเอียร์ อิบึน-ลาอาฮาด) มือสังหารแห่งซีเรีย ผู้ที่ค้นพบความลับบางอย่าง มี setting อยู่ในสงครามครูเสดครั้งที่ 3 ปี ค.ศ.1191
ภาคนี้เหมาะกับคนที่อยากเปิดโลกของ Assassin’s Creed แบบเอาให้ครบ ไล่เรื่องราวความเป็นมาตั้งแต่ต้นจนจบ โดยไม่สนเรื่องกราฟิกและเทคโนโลยีของเกม เพราะเกมน้ีถูกวางจำหน่ายตั้งแต่ปี 2007 ทำให้ภาพและระบบต่างๆ อาจจะเก่าไปสักหน่อย (เช่น พระเอกของเราในภาคนี้ว่ายน้ำไม่เป็น) และเนื้อเรื่องก็ยังเป็นเนื้อเรื่องสไตล์เกมเก่าๆ ที่ไม่ได้ซับซ้อนมากเท่าไหร่นัก
ไตรภาคมือสังหารแห่งเรอแนซองซ์
นี่คือ 3 ภาคไตรภาคที่มีชื่อเสียงที่สุดในซีรีส์ โดยมีชื่อเรียกกันทั้งแบบทางการและไม่ทางการว่า “ไตรภาคแห่งเอซิโอ” เพราะผู้เล่นจะต้องรับบทเป็น Ezio Auditore da Firenze (เอซิโอ ออดิทอเร ดา ฟิเรนเซ) ตั้งแต่เกิด (จริงๆ นะ!) ยันแก่ โดยช่วงเวลาของเกมจะอยู่ในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาอิตาลีหรือเรอแนซองซ์ (ช่วงปลายปี 1500 ถึงต้นปี 1600)
- Assassin’s Creed II (2009) – จุดเริ่มต้นของชีวิต Ezio หนุ่มเจ้าสำอางค์แห่งเมืองฟลอเรนซ์ที่ชะตากรรมถูกส่งมาให้เป็นมือสังหาร และทำการแก้แค้นให้กับครอบครัวของตัวเขาเอง
- Assassin’s Creed: Brotherhood (2010) – การต่อสู้ ณ กรุงโรมที่สุดดุเดือดของ Ezio กับ Cesare Borgia (รวมถึงพระสันตะปาปา Rodrigo Borgia ด้วย) โดยมีเหล่าภราดรนักฆ่าร่วมสู้ไปกับเขา
- Assassin’s Creed: Revelations (2011) – ปิดฉากบทบาทมือสังหารของ Ezio ที่เมืองคอนสแตนติโนเปิล (อิสตันบูล ประเทศตุรกี) และความลับของ Altaïr ที่ถูกเปิดเผยบนจุดกำเนิดของเรื่องราวในภาคแรก
แม้ไตรภาคนี้จะมีอายุถึงเกือบ 10 ปี แต่ก็ได้กลายเป็นตำนานที่แฟนเกมซีรีส์นี้ล้วน “อวย” กันมากที่สุดอยู่ตลอดเวลา (ทีมงาน GG2 ก็เช่นกัน) ทั้งระบบของเกมที่ถูกปรับปรุงขึ้น และจุดเด่นหลักอย่างเนื้อเรื่องที่เข้มข้นและส่งต่อกันได้อย่างน่าสนใจ ที่สำคัญปิดฉากลงได้อย่างสวยงาม
จตุรภาคแห่งโลกใหม่
หลังจากที่ Ezio Trilogy ได้จบลง Ubisoft ก็ได้ขนภาคต่ออย่างภาค 3 มาต่อ โดยภาคทั้งหมดในชุดจะดำเนินเรื่องอยู่ที่อเมริกาในยุคอาณานิคมเป็นหลัก
- Assassin’s Creed III (2012) – ผู้เล่นรับบทเป็น Connor Kenway (คอนเนอร์ เคนเวย์) มือสังหารลูกครึ่งโมฮอว์ก-บริติช โดยเรื่องราวจะเกิดขึ้นในช่วงกลางปี 1800 ระหว่างการปฏิวัติอเมริกา ซึ่งการที่พระเอกเป็นลูกครึ่งโมฮอว์ก และบริติช ทำให้เรื่องราวในภาคนี้มีมุมมองหลายด้านที่เกิดขึ้นกับคนหลายกลุ่ม
- Assassin’s Creed: Liberation (2012) – ครั้งแรกกับการเล่นเป็นมือสังหารหญิง Aveline de Grandpré (เอเวอลีน เดอ กรองเพร) แห่งเมืองนิวออร์ลีนส์ โดยเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคู่ขนานกับภาค 3 และเป็นภาคที่ทำลงให้กับเครื่อง PS Vita ทำให้ระบบการเล่นต่างๆ จึงอาจไม่ละเอียดสมบูรณ์เท่าภาคอื่น ภายหลังได้ถูกทำการพอร์ตมาลงเครื่องคอนโซลและพีซีในชื่อ Assassin’s Creed: Liberation HD (2014)
- Assassin’s Creed IV: Black Flag (2013) – ท่องทะเลไปกับ Edward Kenway (เอ็ดเวิร์ด เคนเวย์)โจรสลัดสัญชาติบริติชแห่งต้นปี 1800 ณ ทะเลแคริบเบียน ที่จับพลัดจับผลูเข้ามาเป็นมือสังหาร และร่วมค้นพบความลับต่างๆ ของ “ผู้มาก่อน” โดยเอ็ดเวิร์ดนั้นยังเป็นปู่แท้ๆ ของ Connor ทำให้เนื้อเรื่องของภาคนี้เกิดก่อนภาค 3 อยู่หลายปี
- Assassin’s Creed: Rogue (2014) – Shay Cormac (เชย์ คอร์แมค) มือสังหารที่เปลี่ยนฝ่ายมาเข้ากับ Templar เพราะเรื่องราวอันขมขื่นที่ได้เจอ ซึ่งเขานั้นรู้จักกับ Haytham Kenway (เฮย์แทม เคนเวย์) พ่อของ Connor ทำให้เรื่องราวในภาคนี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนภาค 3 โดยตอนจบของภาคนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของภาคต่อไปอย่าง Assassin’s Creed: Unity อีกด้วย
สำหรับ 4 ภาคนี้แม้ช่วงเวลาจะไม่ได้ต่อกันเป๊ะ ก็ยังมีความเชื่อมโยงกันในเรื่องของตัวละครอย่างชัดเจน และยังเป็นภาคที่โดดเด่นในเรื่องการเดินเรืออย่างมาก (ยกเว้นภาค Liberation) มากจนถูกแซวว่าเป็นเกมโจรสลัดมากกว่าเกมนักฆ่าด้วยซ้ำ แต่ระบบต่างๆ ของเกมก็ถูกพัฒนาขึ้นกว่าแต่ก่อนเช่นกัน
ทวิภาคแห่งผู้เข้าร่วมใหม่
หลังจากภาค 4 ซีรีส์ Assassin’s Creed ได้เปลี่ยนมาใช้เอนจิ้นเกมใหม่อย่าง AnvilNext 2.0 ซึ่งเป็นการยกระดับกราฟิกและเกมเพลย์ขึ้นอย่างมาก และเกิดภาคใหม่ขึ้นมา 2 ภาคต่อเนื่องกัน
- Assassin’s Creed: Unity (2014) – เรื่องราวในยุคปฏิวัติฝรั่งเศส ผู้เล่นรับบทเป็น Arno Dorian (อาร์โน โดเรี่ยน) มือสังหารหนุ่มชาวฝรั่งเศสที่พยายามจะเปิดเผยความจริงที่อยู่เบื้องหลังอำนาจการปฏิวัติ โดยภาคนี้นอกจากเกมเพลย์ที่พัฒนาขึ้นมากแล้ว ยังมีจุดเด่นที่สามารถร่วมเล่นกันได้ถึง 4 คน
- Assassin’s Creed: Syndicate (2015) – เป็นภาคแรกที่เราจะได้เล่นตัวละครหลักถึง 2 ตัว คือฝาแฝด Jacob Frye (เจอคอป ฟราย) และ Evie Frye (อีวี่ ฟราย) โดยมี setting อยู่ที่ลอนดอนปี 1868 ช่วงการปฏิวัติอุตสาหกรรม และเป็นภาคที่ตัดระบบ multiplayer (ผู้เล่นหลายคน) ออกเพื่อเน้นเกมเพลย์ให้ได้มากที่สุด และจะไม่มีอีกในภาคต่อไป
2 ภาคนี้เป็นภาคที่โดดเด่นอย่
การผจญภัยของเลย์ลา
หลังจากที่หยุดไป 2 ปี Assassin’s Creed ก็กลับมาในภาค Assassin’s Creed: Origins โดยตัวละครหลักในยุคปัจจุบันของเกมเปลี่ยนมาเป็น Layla Hassan ทั้ง 2 ภาค และย้อนยุคสมัยหลักของเกมจากใหม่สุด (Syndicate) กลับไปเก่ากว่าทุกภาคที่เคยเป็นมา
- Assassin’s Creed: Origins (2017) – ย้อนกลับไปในอดีตสมัยอียิปต์ช่วง 49 ปีก่อนคริสตกาล สมัยปลายราชวงศ์ปโตเลมี เป็นเรื่องราวของ Bayek (บาเยค) เมดจายผู้พิทักษ์ของอียิปต์โบราณ ที่ต้องการแก้แค้นและทำการสังหารเหล่าคนที่เป็นเหตุให้ลูกชายของเขาต้องตาย แต่เมื่อยิ่งถลำลึกลงไป บาเยคยิ่งพบว่าเรื่องราวทั้งหมดนั้นใหญ่กว่าที่เขาคิดไว้มากนัก
- Assassin’s Creed: Odyssey (2018) – ผจญภัยไปในยุคสมัยที่เก่าแก่ที่สุดในซีรีส์ ในช่วงสงครามเพโลพอนนีเซียน 431 ปีก่อนคริสตกาล ณ กรีก โดยเราสามารถเลือกเล่นเป็นตัวละครระหว่างเพศชาย Alexios (อเล็กซ์ซิออส) และเพศหญิง Kassandra (คาสซานดรา) และร่วมค้นหาความลับอันน่าประหลาดใจของ “ผู้มาก่อน”
ใน 2 ภาคล่าสุดอย่าง Origins และ Odyssey กลายเป็นภาคที่มีความ RPG อย่างเต็มขั้น และด้วยยุคสมัยที่ค่อนข้างเก่ามาก ทำให้กลิ่นอายของ Assassin’s Creed แบบเดิมๆ อาจดูลดลง แต่สุดท้ายทั้ง 2 ภาคนี้ก็ได้รับเสียงวิจารณ์ที่ดีและเสียงตอบรับอันน่าพึงพอใจของแฟนๆ ในฐานะเกม action RPG และเกม Assassin’s Creed ที่ยอดเยี่ยมที่สุด เพราะเพียบพร้อมไปด้วยความสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะเป็นกราฟิก หรือระบบการเล่นที่ถูกพัฒนาขึ้นในทุกๆ ด้าน
11 ปี 12 ภาค กับตำนานแห่งมือสังหาร
จริงๆ แล้วคำตอบของเราคืออยากให้ทุกคน “ได้เล่น” ให้ครบทุกภาคครับ เพราะเราจะได้สัมผัสเรื่องราวที่โยงใยซึ่งกันและกันอย่างต่อเนื่อง ไม่แพ้จักรวาลหนังที่มีหนังเป็นสิบๆ เลยทีเดียว แต่แน่ล่ะ ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีเวลาในการเล่นมากพอ อีกทั้งการเล่นซ้ำอย่างต่อเนื่องอาจจะทำให้แม้แต่แฟนเกมอาจจะเบื่อได้ เพราะฉะนั้นลองเลือกภาคที่น่าจะเหมาะกับคุณมาก่อนครับ และมันจะทำให้คุณอยากเล่นภาคอื่นเอง (แต่เราแนะนำ Ezio Trilogy จริงๆ นะ)
We work in the dark to serve the light.
We are assassins.