เมื่อปี 2008 หลังจากกระแสที่มาแรงของเกม Hack’n Slash ชื่อดังอย่าง Devil May Cry 3 (ที่เป็นเนื้อเรื่องแรกสุด) Capcom ก็ได้ส่งเกมภาคใหม่อย่าง Devil May Cry 4 ออกมาให้เกมเมอร์ได้ฟาดฟันปีศาจกันอีกครั้ง ก่อนที่ซีรีส์นี้จะถูกแช่แข็งยาวนานกว่าสิบปีโดยไม่มีการสานต่อเรื่องราวของสายเลือดสปาร์ด้าต่อ
รีวิวต่อไปนี้อาจมีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของเกม แต่ไม่เปิดเผยเนื้อหาส่วนสำคัญ
สานต่อตำนานปีศาจสะอื้น
Devil May Cry อาจเป็นซีรีส์เกมที่เรียงภาคตามลำดับเหตุการณ์ (Chronological Order) แปลกไปสักนิด เพราะแพลนการทำเกมภาคต่อจากภาคแรกนั้นโดยการเรียงเกมทั้ง 5 ภาคหลักวิธีเรียงดังต่อไปนี้
- ภาค 3 – ปฐมบทของเรื่องราวทั้งหมดของการเป็นนักล่าปีศาจของดันเต้วัยหนุ่ม พร้อมด้วยเวอร์จิล, อาร์คัม และเลดี้
- ภาค 1 – การผจญภัยของดันเต้และทริซ และการปราบจอมปีศาจมุนดัส
- ภาค 2 – ดันเต้และลูเซียร่วมมือกันจัดการปีศาจที่ชื่อว่าอโกรแซ็กส์ โดยในตอนสุดท้ายดันเต้นั้นหายไปยังโลกปีศาจ
- ภาค 4 – เปิดตัวเนโรเด็กหนุ่มปริศนาที่มีแขนขวาเป็นแขนปีศาจ และในตอนสุดท้ายได้ร่วมมือกับดันเต้ในการปกป้องเมืองฟอร์จูน่าจากปีศาจ
- ภาค 5 – เนโรถูกช่วงชิงแขนปีศาจของเขาไป และต้องเผชิญหน้ากับจอมปีศาจอุริเซนที่บุกโลก พร้อมกับดันเต้และชายปริศนานามว่าวี
ซึ่งเป็นที่รู้กันของเกมเมอร์ว่าภาค 2 นั้นมีเนื้อเรื่องที่ค่อนข้างอ่อนกว่าภาคอื่น รวมถึงไม่ได้มีส่วนเชื่อมโยงกับเรื่องราวโดยรวมเท่าไหร่นัก ส่วน DmC Devil May Cry นั้นไม่ได้ถูกนับร่วมในจักรวาลของซีรีส์หลัก
RE Engine ของดีสุดฟินจาก Capcom
DMC 5 ใช้เกมเอนจิ้นตัวล่าสุดอย่าง RE Engine ที่ถูกใช้มาแล้วใน RESIDENT EVIL 7 และ RESIDENT EVIL 2 Remake และเท่าที่เราทดสอบมาเกมที่ถูกเรนเดอร์ขึ้นมาจากเอนจิ้นตัวนี้ล้วนมีกราฟิกคุณภาพสูงมากทั้งสิ้น จุดเด่นของภาพคือแสงและเงาสะท้อนที่สมจริงขึ้นมากจากเกมเก่าๆ ของค่าย รวมถึงอนิเมชันหน้าตัวละครที่สมจริงไม่แพ้ภาพยนตร์
และอีกจุดแข็งของ RE Engine คือกินสเปคไม่มาก ผู้เล่นสามารถรันเกมบนเครื่องพีซีได้แบบไหลลื่น 60 FPS บนคอมพิวเตอร์ระดับกลางเท่านั้น ส่วนคอนโซลเกมเมอร์ก็ได้รับ 60 FPS performance แบบเต็มๆ ทั้งสองค่ายเช่นกัน (สำหรับ XBOX ONE X นั้นจะรันที่ 4K แบบ Native อีกด้วย)
เนโร มืออสูรล่าปีศาจ
หลังจากที่นักล่าปีศาจทั่วโลกได้สวมบทตัวละครเป็นดันเต้มาถึงสามภาคด้วยกัน ในภาค 4 ตัวละคร “พระเอก” ของเรื่องได้ถูกเปลี่ยนเป็นตัวละครใหม่อย่างเนโร นักดาบหนุ่มจอมขบถผู้มีแขนขวาเป็นปีศาจ (มีชื่อเรียกว่า Devil Bringer) ที่มีคาแรคเตอร์สุดกวนคล้ายกับพี่น้องตระกูลสปาร์ด้าอย่างน่าสงสัย แต่ชาติกำเนิดจริงๆ ของเขาก็ยังไม่ถูกเปิดเผย (ซึ่งอันที่จริงแฟนๆ เกมนี้ก็คงจะรู้คร่าวๆ ถึงที่มาที่ไปของเขากันอยู่แล้ว)
ในช่วงท้ายของภาค 4 เนโรนั้นได้ “ยามาโตะ” ดาบปีศาจที่มีพลังในการเปิดประตูมิติไปยังโลกปีศาจมาเก็บไว้ที่แขนขวาของเขา ซึ่งดาบยามาโตะเล่มนี้นี่เองที่เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวในภาค 5 เพราะเขาถูก “ปีศาจปริศนา” ตัดและขโมยแขนของเขาหายไปอย่างไร้ร่องรอย โดยไม่น่าจะมีเหตุผลอื่นนอกจากการช่วงชิงยามาโตะเอาไปเพื่อจุดประสงค์บางอย่าง
เนโรเป็นตัวละครที่มีรูปแบบการทำคอมโบที่ค่อนข้างดูธรรมดาถ้าอิงจากอาวุธสไตล์ DMC แบบดั้งเดิมนั่นคือดาบ Red Queen และปืน Blue Rose แต่การมาของ “แขนกล” หรือ Devil Breaker นั้นเป็นการเพิ่มรูปแบบการเล่นให้หลากหลายมากยิ่งขึ้น
Devil Breaker นั้นมีรูปแบบการใช้งานที่หลากหลายมาก ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีระยะประชิด โจมตีเป็นวงกว้าง ปล่อยออกไปโจมตีระยะไกล ช่วยให้เนโรนั้นเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น ดึงศัตรูเข้ามาหา หรือแม้กระทั่งเสริมการโจมตีของดาบก็สามารถทำได้ตามแต่ชนิดของแขนกลที่เราเลือกใช้ (และเก็บได้) โดยแขนกลแต่ละรุ่นนั้นมีอายุการใช้งานที่จำกัด เพราะฉะนั้นเราต้องเลือกใช้ให้ถูกจังหวะ
และนอกจาก Devil Breaker หน้าตาเท่ๆ แล้ว ยังมีแขนกลหน้าตากวนๆ (แต่ใช้งานได้จริง!) อีกหลายรุ่นให้เลือกใช้ภายในเกม ยกตัวอย่างก็แขนปืนของหุ่นยนต์สีฟ้าเพื่อนร่วมค่ายที่ทุกคนคุ้นเคยอันนี้
ดันเต้ ดาบล่าพญามาร
แม้ว่าเกมสองภาคล่าสุดจะเปลี่ยนตัวเอกเป็นไอ้หนุ่มแขนแปลกอย่างเนโร แต่ดันเต้ก็ยังคงเป็นตัวละครสำคัญที่จักรวาล DMC ขาดไปไม่ได้ หลังจากที่มอบยามาโตะ ดาบของเวอร์จิลไว้ให้กับเนโรในตอนท้ายของภาค 4 ในภาคนี้เขาก็ได้กลับมาร่วมปราบปีศาจด้วยกันกับเจ้าของร้าน Devil May Cry ฉบับรถตู้อีกครั้ง
สำหรับเนื้อเรื่องหลักในภาคนี้ก็มีส่วนที่โฟกัสดันเต้อยู่ไม่น้อย ทั้งเรื่องราวในอดีตที่ไม่เคยถูกเปิดเผย ความลับสำคัญที่กุมเอาไว้ ไปจนถึงปัญหาใหญ่ที่ต้องเป็นเขาเท่านั้นที่จะสะสางลงได้ ซึ่งล้วนแต่มีความสัมพันธ์กับตัวละครอื่นๆ ในเรื่องแทบทั้งสิ้น
รูปแบบการเล่นของดันเต้นั้นยังคงเป็นการทำคอมโบแบบจัดหนักจัดเต็มด้วยดาบปีศาจ Rebellion และปืนคู่ Ebony & Ivory (รวมถึงอาวุธใหม่ๆ ที่มีให้เก็บเพิ่มในภาคนี้) ทำให้เป็นตัวละครที่มีอาวุธให้เลือกเล่นมากที่สุดเหมือนทุกภาคที่ผ่านมา เรียกได้ว่าถ้าเนโรไม่มี Devil Breaker ก็จะกลายเป็น “พระเอก” ที่รูปแบบการเล่นสนุกน้อยกว่าพระรองไปเลย
ตัวอย่างอาวุธที่น่าสนใจของดันเต้ก็คือ Cavaliere มอเตอร์ไซค์ปีศาจ (มีการเปิดเผยแล้วในตัวอย่าง) ที่สามารถใช้โจมตีด้วยการวิ่งชน หรือแยกออกมาเป็นดาบคู่ขนาดยักษ์เพื่อใช้ฟาดศัตรูและทำคอมโบเท่ๆ ได้ไม่ต่างกับการใช้ดาบ Rebellion
ความน่าสนใจของดันเต้อีกอย่างนอกจากอาวุธที่หลากหลายแล้วก็คือ Devil Trigger หรือการแปลงเป็นร่างปีศาจที่ทำให้มีค่าพลังต่างๆ สูงขึ้นรวมถึงฟื้นฟูพลังชีวิตอีกด้วย ในภาคนี้เราสามารถแปลงร่างได้อย่างต่อเนื่องและนานกว่าเดิม เป็นประโยชน์ในการต่อสู้มากยิ่งขึ้น
วี เจ้าชายเทพอสูร
นอกจากตัวละครเก่าๆ จะกลับมาในภาคนี้กันจนเกือบครบ ยังมีการเปิดตัวตัวละครที่สามารถเล่นได้อีกหนึ่งตัวนามว่า “วี” ชายปริศนาที่ไม่มีที่มาที่ไปชัดเจน แต่ความต้องการของเขานั่นก็คือการยืมพลังของนักล่าปีศาจทั้งสองคนอย่างเนโรและดันเต้เพื่อใช้ในการปราบจอมมารอุริเซน
และแน่นอนว่าในเมื่อวีเป็นตัวละครหลักอีกตัว ในเนื้อเรื่องก็ย่อมมีเรื่องราวของเขาผสมอยู่ด้วยเช่นกัน ถ้าใครอยากรู้ว่าเขาเป็นใครมาจากไหน มีความสัมพันธ์กับตัวละครอื่นอย่างไร ก็ต้องลองจับจอย (หรือเมาส์คีย์บอร์ด) ติดตามกันเองดูด้วยตัวเอง
สไตล์การต่อสู้ของวีนั้นถือว่าไม่เหมือนตัวละครไหนในเกมตระกูล DMC ที่สามารถเล่นได้มาก่อน นั่นคือเป็นตัวละครที่เรียกสัตว์อสูรออกมาโจมตีแทนการเข้าไปกระหน่ำคอมโบโจมตีเองโดยตรง (สาย Summon นั่นเอง) จากนั้นค่อยปิดฉากด้วยตัวเองทีหลังโดยการใช้ไม้เท้าเสียบ
วีสามารถใช้รูปแบบการโจมตีหลักๆ ที่เกิดจากสัตว์อสูร 3 ชนิดคือ Griffon (โจมตีระยะไกล) Shadow (โจมตีระยะประชิด) และท่า Devil Trigger ที่เรียกอสูรยักษ์ Nightmare ลงมาโจมตีศัตรู ซึ่งสัตว์อสูรทั้งหมดสามารถอัปเกรดได้เหมือนอาวุธของตัวละครอื่นเช่นเดียวกัน
นิโก้ รถตู้ซิ่งดริฟท์สายฟ้า
ไม่เพียงแค่ตัวละครที่สามารถเล่นได้ แต่ DMC 5 ยังประกอบไปด้วยตัวละครเสริมที่มีเสน่ห์ไม่แพ้กัน โดยเฉพาะตัวละครใหม่อย่างนิโก้ สาวแว่นสุดเนิร์ด (และสุดเพี้ยน) คู่หูของเนโรที่เป็นนักประดิษฐ์อาวุธและเป็นคนที่สร้างแขนกล Devil Breaker หลากหลายชนิดให้เขาใช้ ในเนื้อเรื่องของเกมก็มีเรื่องราวในส่วนของเธอเช่นกัน
นิโก้นั้นเหมือน “รูปปั้นอัปเกรดเคลื่อนที่” จากภาคเก่าๆ เราสามารถเรียกเธอรถตู้ของเธอมาหาได้เพียงพริบตาด้วยการเข้าไปโทรเรียกเธอในตู้โทรศัพท์ จากนั้นก็เข้าไปอัปเกรดอาวุธ ซื้อ Devil Breaker และไอเทมต่างๆ ด้วย Red Orbs เพื่อพร้อมลุยในด่านต่อไป
ทริซและเลดี้ คู่หูของผมไม่น่ารักขนาดนี้หรอก
ทริซและเลดี้ สองสาวสวยจอมโหดคู่หูของดันเต้จากภาคเก่าก็กลับมาในฉบับกราฟิกยุค 2019 ให้แฟนๆ ได้ว้าวและหายคิดถึง
ซีรีส์หลักที่มีกลิ่นอาย DmC: Devil May Cry
ถึงเกมภาค DmC: Devil May Cry ที่มี setting อยู่ในจักรวาลอื่นและไม่เกี่ยวกับภาคหลัก 5 ภาคจะได้รับเสียงวิจารณ์ที่ไม่ค่อยดีนักจากแฟนเกมรวมถึงยังไม่มีแผนการทำภาคต่อ แต่ถ้าใครเคยเล่นภาคนี้มาก่อนน่าจะชื่นชอบท่วงท่าการทำคอมโบที่สุดเท่และลื่นไหล มุมกล้องที่อิสระกว่า รวมถึงตัวเอกที่มีคาแรคเตอร์สุดแสบและวัยรุ่นกว่าดันเต้ที่อยู่ในวัยผู้ใหญ่ ทั้งหมดที่ว่ามาคือถ้าใครได้ลองเล่นภาคนี้แล้วก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า DMC 5 นั้นรับแรงบันดาลใจหลายอย่างมาจาก DmC: Devil May Cry แต่กลมกลืนกับกลิ่นอายของสไตล์เกมในซีรีส์หลักได้อย่างลงตัว
ยากหรือง่ายเลือกได้ตามสไตล์เรา
ที่ผ่านมา Devil May Cry ถือว่าเป็นซีรีส์ที่มีความยากในระดับกลางๆ (อาจจะค่อนไปทางยากเล็กน้อย) มาตลอด และซีรีส์นี้นั้นเป็นเกมแนว old school ที่เราสามารถเลือกระดับความยากได้ตามต้องการตั้งแต่ง่ายไปจนถึงอยากเขวี้ยงจอยใส่จอ
ในภาคนี้ก็ถือว่าเกมยังมีระดับความยากที่ค่อนข้างใกล้เคียงจากในภาคก่อนๆ โดยในความยากระดับ Devil Hunter (ยากกว่าแบบ Human ซึ่งเป็นระดับที่ง่ายที่สุด 1 ระดับ) ถือว่าเป็นความยากที่กำลังดีสำหรับคนที่เคยมีประสบการณ์กับเกมแนวนี้มาก่อน ไม่ง่ายจนหมดความท้าทาย แต่ก็ไม่ยากจนตายแล้วตายอีก
แต่ถ้าใครที่ลองเล่นแล้วยังคิดว่ายากอยู่ ในภาคนี้ก็มีระบบคอมโบแบบออโต้ที่สามารถกดปุ่มเพียงปุ่มเดียวแต่ออกท่าโจมตีมาหลายแบบ ช่วยให้การเล่นง่ายขึ้นไปอีก (แต่สำหรับคนที่อยากต่อสู้แบบเร้าใจ เราไม่แนะนำให้เปิดนะ)
ครั้งแรกของระบบการเล่นหลายคน
เนื้อเรื่องของ DMC 5 นั้นถูกเล่าผ่านตัวละคร 3 ตัวที่หลายครั้งพวกเขาออกเดินทางไปพร้อมๆ กัน เป็นที่มาของระบบ Starring (หรือระบบ co-op) ที่จะขึ้นชื่อผู้เล่นคนอื่นที่กำลังออนไลน์ และใช้ตัวละครอื่นที่เราไม่ได้เลือกเล่นร่วมกับเราอยู่ในขณะนั้น โดยจะมีค่าสไตล์ขึ้นให้ดูด้วยว่าเขาคอมโบได้แสบระดับไหน จบด้วยการกด “ถูกใจสิ่งนี้” ให้กับพวกเขาเมื่อจบด่าน เป็นการมอบ Gold Orb หรือหินชุบชีวิตเป็นรางวัลที่มาร่วมเล่นด้วยนั่นเอง
PULL MY DEVIL TRIGGER!
เวลา 11 ปีสำหรับการออกเกมภาคต่ออาจดูเป็นเวลาที่ยาวนานเกินไปสักนิดเมื่อเทียบกับเกมอื่นๆ ในตลาด แต่ทีมพัฒนาจาก Capcom ก็พิสูจน์ให้เกมเมอร์ทั่วโลกให้เห็นแล้วว่าพวกเขาใช้เวลายาวนานที่ว่านี้ออกมาอย่างคุ้มค่าทุกวินาที เพราะ Devil May Cry 5 คือสุดยอดเกม Hack’n Slash ที่มีความสมบูรณ์ในตัวเองแทบทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกราฟิกและการออกแบบที่สวยสมจริง เนื้อเรื่องที่เข้มข้นตลอดเวลาและเชื่อมโยงกับภาคเก่าๆ ได้อย่างลงตัว (แม้จะมีความยาวต่อรอบที่ค่อนข้างสั้นเพียง 15 ชั่วโมง) และเกมเพลย์โคตรเดือดอันเป็นเอกลักษณ์ที่ได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้นไปอีก
วาจาโคตรจะมั่น แอ็คชั่นสะบั้นปีศาจ เพลงร็อคแสนบาดใจ สาวเซ็กซี่คู่ใจร่วมเดินทาง นี่คือเกม Devil May Cry ภาคที่ดีที่สุดที่เราเคยเล่นมา รวมถึงเป็นเกม Hack’n Slash ที่ทำออกมาได้สมบูรณ์ที่สุดเกมหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย
9.5/10
JACKPOT!
Devil May Cry 5 พร้อมระเบิดพลังใส่ปีศาจแล้ววันนี้บน PC/PS4/XBOX ONE ใครที่เสพติดการปราบปีศาจด้วยดาบและปืนจากภาคเก่าๆ ของซีรีส์นี้ ไม่มีเหตุผลให้ควรพลาดแม้แต่ประการเดียว